อภินันทนาการจากครูคอมค่ะ อุอิอุอิ
วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 12:05 0 ความคิดเห็น
วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553
นี่มันของเด็กประถม ห้ามลอกเลียนแบบนะคะ
มอเตอร์ง่าย ๆ
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 11:55 0 ความคิดเห็น
อาจารย์กบ
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
กิจกรรมวันวิทยาศาสตร์ ที่โรงเรียนปีนี้
แอบผ่านไปที่ซุ้ม Bio เค้าเอาอาจารย์กบมาผ่าให้ดูน่ะ
งือๆๆ ใจร้าย !!
นึกถึงสมัยเราเรียน กลุ่มเราโดน "อาจารย์ตุ๊กแก"
น่าสงสาร (นักเรียนที่ผ่า) หยึย!!
ฟังดีดี จะได้ยินเสียงครูต้องถามด้วยความสงสัย
(จริงๆ)
แต่สำหรับฟิสิกส์เรา ไม่ค่อยมีใครเฉียดไปชม
พอกลับขึ้นมาถามบนห้องเกี่ยวกับเรื่อง การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในสนามแม่เหล็ก
ทุกคนกลับบอกว่า ไม่เห็นรู้เรื่องเลย
ให้มันได้อย่างนี้สิน่า
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 09:36 0 ความคิดเห็น
ประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ทำ blog แล้ว + ติดตามกันแล้ว
กรุณาทิ้ง link ไว้ให้ครูด้วย
เนื่องจากไม่สามารถเข้าไปตรวจได้คะ
ต้องทำตัวเป็นหนอน ชอนไชไปตาม blog ของเพื่อน ๆ อีกที
อิอิ
Read more...
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 01:22 0 ความคิดเห็น
Quest2_(M.6) ใกล้คลอดแล้วนะคะ
วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สำหรับนักเรียนชั้น ม.6/6
Quest 2 สำหรับบทที่ 2 เรื่องไฟฟ้ากระแสตรง
เรื่องเกี่ยวกับเครื่องวัดไฟฟ้า ให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมมาก่อน แล้วครูจะแจ้งให้ทราบใน blog นี้อีกครั้งค่ะ
แล้วกลุ่มใดที่ยังไม่ส่ง Quest1 ให้ส่งได้แล้วนะคะ Paper+CD-ROM ค่ะ
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 12:56 0 ความคิดเห็น
คำถามที่ต้องตอบ
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
Blog คืออะไร
Blog เป็นคำรวมมาจากศัพท์คำว่า เว็บล็อก (WeBlog) สามารถอ่านได้ว่า We Blog หรือ Web Log ไม่ว่าจะอ่านได้อย่างไรทั้งสองคำนี้ก็บ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่าคือบล็อก (Blog)
คำว่า "บล็อก" สามารถใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์"
ความเป็นมาของบล็อก
“Weblog” ถูกใช้งานเป็นครั้งแรกโดย Jorn Barger ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1997 เริ่มแรกคนที่เขียนบล็อกนั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเพจขึ้นเองทีละหน้า เขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่างๆ หลายๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ แต่ในปัจจุบันนี้ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียนบล็อกกันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ อีกทั้งยังมีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียนบล็อกได้มากมาย เช่น Drupal, WordPress, Movable Type เป็นต้น ต่อมามีฝรั่งที่ชอบเรียกสั้นๆ ชื่อนาย Peter Merholz จับมาเรียกย่อเหลือแต่ “Blog” แทนในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1999 และคำคำนี้เริ่มใช้เป็นครั้งแรกๆ ผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสาร จนมาถึงวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2003 ทาง Oxford English Dictionary จึงได้บรรจุคำว่า blog ในพจนานุกรม แสดงว่าได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ บล็อก (Blog) ขึ้นแท่นศัพท์ยอดฮิต อันดับหนึ่ง ซึ่งถูกเสาะแสวงหา ความหมาย ทางพจนานุกรมออนไลน์ มากที่สุด ประจำปี 2004 และคนเขียนบล็อกก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่างๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่งเรื่องราวของ การประชุมระดับชาติ และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่าบล็อกเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ, สิ่งพิมพ์, โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่าบล็อกได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ที่สำคัญอย่างแท้จริง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า “เว็บไซต์ ดิกชั่นนารีหรือ พจนานุกรมออนไลน์ “เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์” ได้ประกาศรายชื่อ คำศัพท์ซึ่งถูกคลิก เข้าไปค้นหา ความหมายผ่าน ระบบออนไลน์มากที่สุด 10 อันดับแรกประจำปีนี้ ซึ่งอันดับหนึ่งตกเป็นของคำว่า “บล็อก” (blog) ซึ่งเป็นคำย่อของ “เว็บ บล็อก” (web log) โดยนายอาเธอร์ บิคเนล โฆษกสำนักพิมพ์พจนานุกรมฉบับ เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ กล่าวว่า สำนักพิมพ์ได้เตรียมที่จะนำคำว่า “บล็อก” บรรจุลงในพจนานุกรมฉบับล่าสุดทั้งที่เป็นเล่มและ ฉบับออนไลน์แล้ว แต่จากความต้องการของผู้ใช้ที่หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ตัดสินใจบรรจุคำว่า “บล็อก” ลงในเว็บไซต์ในสังกัดบางแห่งไปก่อน โดยให้คำจำกัดความไว้ว่า “เว็บไซต์ที่บรรจุ เรื่องราวเกี่ยวกับบันทึกส่วนตัวประจำวัน ซึ่งสะท้อนถึงมุมมอง ความคิดเห็นของบุคคล โดยอาจรวมลิงค์เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ตามความประสงค์ของเจ้าของเว็บบล็อกเองด้วย” โดยทั่วไปคำศัพท์ที่ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมนั้นจะต้องผ่านการใช้งาน อย่างแพร่หลาย มาไม่น้อยกว่า 20 ปี ซึ่งหมายความว่าคำคำนั้นจะต้องถูกนำมาใช้โดยทั่วไปในระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคำศัพท์ ทางเทคโนโลยีรวมไปถึงโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ อย่างเช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดซาร์ส ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมภายในระยะเวลาอันสั้น
บล็อกมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบันในวงการสื่อมวลชนในหลายประเทศ เนื่องจากระบบแก้ไขที่เรียบง่าย และสามารถตีพิมพ์เรื่องราวได้โดยไม่ต้องใช้ความรู้ในการเขียนเว็บไซต์ เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูล หรือแนวความคิด โดยการเขียนบล็อกสามารถเผยแพร่ข้อมูลสู่ประชาชนได้รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่าย น้อยกว่าสื่อในด้านอื่นจากความนิยมที่มากขึ้น ทำให้หลายเว็บไซต์เปิดให้มีส่วนการใช้งานบล็อกเพิ่มขึ้นมาในเว็บของตนเอง เพื่อเรียกให้มีการเข้าสู่เว็บไซต์มากขึ้นทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน
ความหมายของคำว่า Blog
บล็อก คือรูปแบบหนึ่งของเว็บไซต์ เป็นการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของบล็อกนั้นสามารถครอบคลุมได้ทุกเรื่อง มีเนื้อหาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัวที่สามารถเรียกได้ว่า ไดอารีออนไลน์ หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่างๆ สามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้าน เช่น สิ่งแวดล้อม การเมือง เทคโนโลยี กีฬา ธุรกิจการค้า เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่างๆ อีกมากมาย ตามความถนัด ความสนใจของเจ้าของบล็อก เพราะสิ่งสำคัญที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อกนั่นเอง
บล็อกถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้ที่ลำดับแรกสุด โดยปกติบล็อกจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ลิงค์ และสื่อชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เพลง วิดีโอ หรือสื่ออื่นๆ ที่สามารถแสดงผลผ่านเว็บไซต์ได้
จุดเด่น และจุดแตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ บล็อกเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียน บล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมายผ่านทางระบบการแสดงความคิดเห็น (Comment) ของตนเองใส่ลงไปในบทความนั้นๆ ซึ่งทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลับโดยทันที บล็อกบางแห่งจะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่น กลุ่มเพื่อนๆ หรือครอบครัว
บล็อกประกอบไปด้วยส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ
1. หัวข้อ (Title)
2. เนื้อหา (Post หรือ Content)
3. วันเวลาที่เขียน (Date/Time)
การใช้งานบล็อก
ผู้ใช้งานบล็อกจะแก้ไขและบริหารบล็อกผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์เหมือนการใช้งาน และอ่านเว็บไซต์ทั่วไป โดยจะมีรูปแบบบริหารบล็อกที่แตกต่างกัน เช่นบางระบบที่มีบรรณาธิการของบล็อก ผู้เขียนหลายคนจะส่งเรื่องเข้าทางบล็อก และจะต้องรอให้บรรณาธิการอนุมัติให้บล็อกเผยแพร่ก่อน บล็อกถึงจะแสดงผลในเว็บไซต์นั้นได้ ซึ่งจะแตกต่างจากบล็อกส่วนตัวที่จะให้แสดงผลได้ทันที
ผู้เขียนบล็อกในปัจจุบันจะใช้งานบล็อกในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งไม่ว่า ติดตั้งซอฟต์แวร์ของตัวเอง หรือใช้งานบล็อกผ่านทางเว็บไซต์ที่ให้บริการบล็อก ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องมีพื้นฐานความรู้ในด้าน HTML หรือการทำเว็บไซต์แต่อย่างใด ทำให้ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้เวลาส่วนใหญ่ในการบริหารจัดการ เพิ่มเติม ข้อมูลและสารสนเทศแทนได้ นอกจากนี้ระบบการจัดการบล็อกจะสนับสนุน ระบบ WYSIWYG ซึ่งทำให้ง่ายต่อการเขียน และอาจเพิ่มเติมการมีเทมเพลตในหลายแบบให้เลือกใช้
สำหรับผู้อ่านบล็อกจะใช้งานได้ในลักษณะเหมือนอ่านเว็บไซต์ทั่วไป และสามารถแสดงความเห็นได้ในส่วนท้ายของแต่ละบล็อกโดยอาจจะต้องผ่านการลง ทะเบียนในบางบล็อก นอกจากนี้ผู้อ่านบล็อกสามารถอ่านบล็อกได้ผ่านระบบฟีด (Feed) ซึ่งมีให้บริการในบล็อกทั่วไป ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านบล็อกได้โดยตรงผ่านโปรแกรมตัวอื่นโดยไม่จำเป็นต้อง เข้ามาสู่หน้าบล็อกนั้น
จุดมุ่งหมายหลัก ๆ ของการเรียนการสอนด้วย blog คือ
1. เพื่อให้นักเรียนสามารถใช้อินเทอร์เน็ตในสิ่งที่เป็นประโยชน์ มิใช่ใช้อินเทอร์เน็ตเพียงแค่เล่นเกม หรือใช้ในสิ่งที่ไม่ค่อยจะมีสาระมากนัก เป็นการลดการใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่ไม่เหมาะสม
2. เพื่อให้นักเรียนได้รู้จักการค้นคว้าข้อมูลตามหัวข้อที่ครูกำหนด แล้วนำมาเรียบเรียงใหม่ ซึ่งเหมือนกับทำรายงานส่งครู มิได้มุ่งเน้นให้นักเรียนไปคัดลอกข้อมูลจากหนังสือ จากไฟล์ Word ไฟล์ PowerPoint หรือ เว็บไซต์ต่างๆ แล้วมาใส่ลงเลย
3. เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียค่ากระดาษ ค่าหมึก ค่าเย็บเล่มส่งครู
4. เพื่อให้ผลงานของนักเรียนได้ถูกตรวจสอบจากผู้อื่นด้วย ทำให้ต้องมีการอ้างอิงอย่างถูกต้อง จะละเลยเพราะคิดว่าครูผู้สอนไม่รู้ไม่ได้ เป็นการปลูกฝังให้นักเรียนเคารพสิทธิผู้อื่น
5. เพื่อให้ครูและนักเรียนได้รู้จักกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้
6. เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้อื่นที่ได้เข้ามาศึกษาค้นคว้าต่อไป
ขอขอบคุณ http://www.thaigoodview.com
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 18:37 0 ความคิดเห็น
การทดลองไฟฟ้าสถิต
วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553
(ขอบคุณ http://www.youtube.com ค่ะ)
แวนเดอกราฟ
(อันนี้ไม่ได้ทดลองในห้องเรียน เพราะอากาศมันชื้นค่ะ ทดลองไม่ได้ผลค่ะ)

ยังมีอีกนะคะ

Read more...
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 17:41 0 ความคิดเห็น
การทดลองจ้า
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553
การทดลอง วิธีการทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตโดยการเหนี่ยวนำ
นักเรียนช่วยพิจารณาหน่อยค่ะ
ว่าใช้วิธีการเหนี่ยวนำหรือไม่ อย่างไร
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 16:46 0 ความคิดเห็น
หน่วยที่ใช้ในวิชาฟิสิกส์
วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
หน่วยการวัดและน้ำหนักยังไม่มีการตกลงให้เป็นมาตรฐานที่แน่นอน หน่วยวัดความยาวแตกต่างกันไประหว่างประเทศแต่ละเมือง และแต่ละอาชีพ เช่น ช่างเสื้อกับช่างไม้ หน่วยวัดความยาวที่มีอยู่เดิมส่วนใหญ่กำหนดขึ้นจากระยะห่างระหว่างส่วนต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ เช่น นิ้ว (inch) เท่ากับความกว้างของนิ้วหัวแม่มือ (thumb-width) แขน (hand) หรือฝ่ามือ (palm) ซึ่งเป็นหน่วยวัดความสูงของม้าเท่ากับส่วนกว้างของฝ่ามือ ฟุต (foot) เท่ากับความยาวของเท้ากษัตริย์อังกฤษ ศอก (cubit) เท่ากับความยาวจากข้อศอกถึงปลายนิ้วกลาง ฟาธอม (fathom) ซึ่งใช้วัดความลึกของมหาสมุทร เท่ากับความยาวระหว่างปลายนิ้วกลางของมือทั้งสองข้างเมื่อแขนเหยียดตรง เป็นต้น
ในปี ค.ศ. 1791 สภาวิทยาศาสตร์แห่งฝรั่งเศส (French Academy of Science) เสนอแนะให้มีหน่วยวัดความยาวที่เป็นมาตรฐาน และเสนอแนะให้ใช้ความยาวพื้นฐานจากขนาดของโลก เรียกว่า หน่วยเมตร (meter) ซึ่งเป็นความยาวเท่ากับหนึ่งในสิบล้านของระยะทางจากขั้วโลกถึงเส้นศูนย์สูตร ทางสภาวิทยาศาสตร์ได้สร้างความยาวของเส้นมาตรฐานขึ้น โดยใช้โลหะผสมระหว่าง platinum กับ iridium แล้วกำหนดระยะทางระหว่างจุดสองจุดบนแท่งโลหะดังกล่าวให้เท่ากับความยาว 1 เมตร
เมื่อเวลาล่วงผ่านมามนุษย์สามารถวัดความยาวได้แน่นอนมากขึ้น และได้พบว่าโลกมีขนาดโต กว่าที่สภาวิทยาศาสตร์เคยวัดไว้ อย่างไรก็ตามความยาวมาตรฐานที่เคยกำหนดไว้ก็ยังคงใช้ต่อไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โลหะเมตรมาตรฐานอันแรกเก็บอยู่ ณ Bureau des Poids et Measures in Se’vres ใกล้ๆ กรุงปารีส และได้จำลองขนาดเมตรมาตรฐานแจกจ่ายไปยังประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วโลก
ต่อมา การวัดความยาวสามารถทำได้แน่นอนยิ่งขึ้นโดยใช้วิธีการทางแสง ดังนั้น ในปี ค.ศ. 1960 สถาบัน International Bureau of Weights and Measure ได้ตกลงกำหนดความยาวของเมตรมาตรฐานใหม่โดยให้ 1 เมตร เท่ากับ 1,650,763.73 ของความยาวคลื่นของแสงสีส้มแดง ซึ่งออกมาจากแก๊ส krypton-86 ดังนั้นแม้ว่าแท่งโลหะเมตรมาตรฐานจะละลายสูญหายไป เราก็ยังสามารถหาความยาวของเมตรมาตรฐานได้ด้วยวิธีการทางแสง ซึ่งเป็นค่าที่แน่นอนกว่าเปรียบเทียบจากโลหะเมตรมาตรฐาน
ในทางวิทยาศาสตร์ หน่วยความยาวนี้มักใช้ระบบเมตริก (metric units) ซึ่งพร้อม ๆ กับการกำหนดความยาวมาตรฐาน ระบบเมตริกได้เสนอหน่วยใหม่สำหรับวัดจำนวนของสาร หรือมวลสาร (mass) โดยใช้หน่วยกรัม (gram ; g) ซึ่งกำหนดให้ 1 กรัม เท่ากับ มวลของน้ำขนาด 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร ที่อุณหภูมิขนาดใดขนาดหนึ่งเหนือจุดน้ำแข็ง ซึ่งเป็นอุณหภูมิของน้ำที่มีความหนาแน่นมากที่สุด (จากการวัดที่แน่นอนภายหลัง ปรากฏว่า น้ำที่มีความหนาแน่นมากที่สุดมีความหนาแน่นเพียง 0.999973 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร ไม่ใช่ 1 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร อย่างไรก็ตามเราก็ยังคงใช้ค่าที่วัดได้แต่ครั้งก่อนเป็นค่ามาตรฐาน)
การสร้างน้ำหนักมาตรฐานขึ้นด้วยโลหะผสม platinum และ iridium ให้มีค่า 1 กิโลกรัม
(kilogram ; kg) ซึ่งเท่ากับ 1,000 กรัม เก็บน้ำหนักกิโลกรัมมาตรฐานไว้ที่เดียวกับเมตรมาตรฐาน พร้อมกับสร้างน้ำหนักกิโลกรัมจำลองขึ้นไปแจกจ่ายทั่วโลกเช่นเดียวกัน ในทางฟิสิกส์จำเป็นต้องใช้หน่วยน้ำหนักขนาดเล็กลงไปอีก ได้แก่ มิลลิกรัม (milligram ; mg) ซึ่งเท่ากับ 1/100 กรัม และไมโครกรัม (microgram ; g) ซึ่งเท่ากับหนึ่งในล้านกรัม เพื่อวัดมวลซึ่งมีขนาดเล็กมาก
หน่วยพื้นฐานลำดับที่สามในทางฟิสิกส์ ได้แก่หน่วยของเวลา มีการกำหนดให้ 1 วัน มี 24 ชั่วโมง แต่ละชั่วโมงแบ่งเป็น 60 นาที และแต่ละนาที แบ่งเป็น 60 วินาที การแบ่งเช่นนี้เป็นระบบเวลาของ บาบิโลน (Babylon) และอียิปต์โบราณ (Egypt) ทางสภาวิทยาศาสตร์ยังคงระบบนี้ไว้ แต่การวัดเวลาที่น้อยกว่าวินาที ได้จัดแบ่งใหม่เป็นระบบทศนิยม ได้แก่ มิลลิวินาที (millisecond ; msec) ซึ่งเท่ากับหนึ่งในพันของวินาที และไมโครวินาที (microsecond ; sec) ซึ่งเท่ากับหนึ่งในล้านของวินาที
จากการกำหนดวินาทีให้เท่ากับ 1/86,400 ของความยาวเฉลี่ยของ 1 วันในรอบปี ค่านี้อาจไม่มีความแตกต่างสำหรับบุคคลธรรมดา แต่นักดาราศาสตร์พบว่าอัตราการหมุนรอบตัวเองของโลกเป็นค่าที่ไม่แน่นอน ดังนั้นความยาวของเวลาในแต่ละวันจึงเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งเป็นปีเป็นศตวรรษ เวลาก็ยิ่งผิดพลาดมากขึ้น เพื่อให้เวลา 1 วินาทีมีค่าที่แน่นอน สถาบัน National Bureau of Standards ได้กำหนดค่าของวินาทีเท่ากับระยะเวลาที่อะตอมของธาตุ cesium สั่นได้ 9,192,631,770 ครั้ง พร้อมกันนั้นทางสถาบันก็ได้สร้างนาฬิกามาตรฐาน เรียกว่า cesium atomic clock ขึ้น ซึ่งบอกเวลาได้ละเอียดถึง 1 ใน 2x1011 และเป็นเวลา 6,000 ปี นาฬิกานี้จึงจะแสดงเวลาผิดพลาดเพียง 1 วินาที
เมื่อได้กำหนดหน่วยสำหรับวัดความยาว มวลสาร และเวลาขึ้นแล้ว เราก็สามารถสร้างความสัมพันธ์เป็นหน่วยใหม่ขึ้นได้ เช่น หน่วยความเร็ว (velocity) คือ เซนติเมตรต่อวินาที (cm/s) หน่วยความหนาแน่น (density) คือ กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร (g/cm3) ซึ่งเป็นระบบที่เรียกว่า ระบบ CGS (เซนติเมตร-กรัม-วินาที) และอีกระบบหนึ่ง คือ ระบบ MKS (เมตร-กิโลกรัม-วินาที) หน่วยในระบบทั้งสองนี้นิยมใช้กันทั่วไป เพราะการเพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นหน่วยของ 10 แตกต่างจากระบบของ Anglo-American ซึ่งหน่วยของความเร็วเป็น ฟุตต่อวินาที ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ furlongs per fortnight
หน่วยในระบบหลังนี้ กำหนดให้ 1 ฟุต มี 12 นิ้ว 1 หลา มี 3 ฟุต และ 1 ไมล์ เท่ากับ 1760 หลา หรือ 5280 ฟุต (ยกเว้นไมล์ทะเลซึ่งเท่ากับ 6076 ฟุต) เราใช้ ออนซ์ (ounce) สำหรับวัดมวลสาร 1 ออนซ์ เท่ากับ 437.5 เกรน (grains) 1 ปอนด์ เท่ากับ 16 ออนซ์ 1 ตัน เท่ากับ 2,000 ปอนด์ จะเห็นได้ว่าการคำนวณในระบบเมตริกทำได้ง่ายกว่ามากเพราะการเปลี่ยนแปลงชื่อหน่วยมีค่าเป็น 10 เสมอ
ชื่อและค่าต่าง ๆ ในระบบเมตริก ดังนี้
tera 1012 เช่น 1 terameter = 1012 meters
giga 109 เช่น 1 giga parsec = 109 parsec
mega 106 เช่น 1 megabuck = 106 dollars
kilo 103 เช่น 1 kilometer = 103 meters
hecto 102 เช่น 1 hectogram = 100 grams
deca 10 เช่น 1 decaliter = 10 liters
deci 10-1 เช่น 1 decibel = 10-1 bel
centi 10-2 เช่น 1 centimeter = 10-2 meter
milli 10-3 เช่น 1 millivolt = 10-3 volt
micro 10-6 เช่น 1 microwatt = 10-6 watt
nano 10-9 เช่น 1 nanosecond = 10-9 second
pico 10-12 เช่น 1 picofarad = 10-12 farad
femto 10-15 เช่น 1 femtogram = 10-15 gram
atto 10-18 เช่น 1 attosecond = 10-18 second
ต่อไปนี้เป็นการปรับค่าจากหน่วยหนึ่งไปยังอีกหน่วยหนึ่ง ดังนี้
1 นิ้ว = 2.540 เซนติเมตร = 0.0254 เมตร
1 ฟุต = 30.48 เซนติเมตร = 0.3048 เมตร
1 เมตร = 39.37 นิ้ว
1 ไมล์ = 1.609x103 เมตร = 1.609 กิโลเมตร
1 กิโลเมตร = 0.6215 ไมล์
1 ปอนด์ (lb) = มวล 453.6 กรัม (มวลมีค่าแตกต่างกันตามตำแหน่งบนพื้นโลก ดังนั้นจึงกำหนดให้เป็นมวลที่ชั่ง ณ ระดับน้ำทะเลที่เส้นรุ้ง (latitude) 45 องศา)
1 กิโลกรัม = 2.205 ปอนด์
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 19:26 0 ความคิดเห็น
ขนาด...ใหญ่ และ ขนาด...เล็ก
ในชีวิตประจำวันของเรา สิ่งของต่าง ๆ มีขนาดแตกต่างกัน บางชนิดมีขนาดใหญ่มาก แต่บางชนิดก็มีขนาดเล็กมาก ซึ่งก็ยังมีสิ่งอื่นที่เรายังไม่เคยมองเห็นอีกมากมาย
สิ่งที่มีขนาดใหญ่ เช่น โลก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาว เป็นต้น ซึ่งเราเรียกว่า สิ่งที่มีขนาดมหึมา หรือ แมคโคร (macrocosm) ซึ่งมาจากภาษากรีกที่มีความหมายว่า “โลกของสิ่งมหึมา” (large world) ส่วนสิ่งที่มีขนาดเล็กมากๆ เช่น อะตอม อิเล็กตรอน เราเรียกว่า สิ่งที่มีขนาดเล็กมาก หรือไมโคร (microcosm) ซึ่งในภาษากรีกมีความหมายว่า “โลกที่เล็กมาก” (small world)
ถ้าเราใช้หน่วยวัดมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์หน่วยใดหน่วยหนึ่ง เช่น เมตร (meter) หรือ เซนติเมตร (centimeter) เพื่อวัดขนาดของแมคโคร ตัวเลขที่ได้จะมีค่ามากมาย แต่เมื่อนำมาวัดขนาดของไมโคร ก็จะได้ตัวเลขที่มีค่าน้อย เช่น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงอาทิตย์มีค่าเท่ากับ 1,390,000,000 เมตร และขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของอะตอมไฮโดรเจน มีค่า 0.0000000106 เซนติเมตร
การเขียนตัวเลขที่มีจำนวนหลักมาก ๆ เช่นนี้ อาจเกิดผิดพลาดได้ง่าย ดังนั้นจึงหาวิธีเขียนใหม่ เช่น เส้นผ่านศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ ซึ่งมีค่า 139 แล้วตามด้วย 0 อีก 7 ตัว ซึ่งเราทราบว่าจำนวน 0 ตัวหนึ่ง คือการคูณด้วย 10 หนึ่งครั้ง ฉะนั้นมี 0 จำนวน 7 ตัว นั่นก็หมายความว่านำ 0 คูณจำนวน 7 ครั้ง หรือเท่ากับ 139x107 เมตร หรือ 1.39x109 เมตร
ในทำนองเดียวกัน เราก็สามารถเขียนจำนวนน้อย ๆ ให้อยู่ในรูปเลขยกกำลังได้เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น เส้นผ่านศูนย์กลางของอะตอมไฮโดรเจน มีค่า 0.0000000106 ถ้าเราทราบว่า 10-3 คือ 1/103 หรือ 0.001 ดังนั้น เส้นผ่านศูนย์กลางของอะตอมไฮโดรเจนจึงมีค่าเท่ากับ 1.06x10-8 เซนติเมตร
ทบทวนระบบเลขยกกำลัง
101 = 10
102 = 10x10
103 = 10x10x10
104 = 10x10x10x10
105 = 10x10x10x10x10
ถ้าเราต้องการนำ 102 คูณด้วย 104 จะคิดได้ดังนี้
102 = 10x10 = 100
และ 104 = 10x10x10x10 = 10,000
ดังนั้น ผลคูณระหว่าง 102 และ 104 คือ 100x10,000 = 1,000,000 ซึ่งก็เท่ากับ 106 นั่นเอง
เพราะฉะนั้น การคูณเลขยกกำลัง(ฐานเหมือนกัน)จึงทำได้โดยการนำเลขชี้กำลังมาบวกกัน
ซึ่งก็จะพบว่า การหารเลขยกกำลัง(ฐานเหมือนกัน)ทำได้โดยการนำเลขชี้กำลังมาลบกัน
การเปรียบเทียบว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงอาทิตย์โตเป็นกี่เท่าของอะตอมไฮโดรเจนนั้น สามารถทำได้โดยการทำหน่วยให้เท่ากันเสียก่อน ในที่นี้เราจะเปลี่ยนหน่วยของเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงอาทิตย์จากหน่วยเมตรให้เป็นเซนติเมตร
จาก 1 เมตร เท่ากับ 100 เซนติเมตร ดังนั้น เส้นผ่านศูนย์กลางของดวงอาทิตย์จึงมีค่าเป็น 1.39x109 m x 102 cm/m = 1.39x1011 cm
เส้นผ่านศูนย์กลางของอะตอมไฮโดรเจนจึงมีค่าเท่ากับ 1.06x10-8 เซนติเมตร จะได้ว่า
= 1.31x1011-(-8)
= 1.31x1019
แสดงว่า เส้นผ่านศูนย์กลางของดวงอาทิตย์โตกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของอะตอมไฮโดรเจนเท่ากับ 1.31x1019 เท่า
เพื่อความสะดวกของการเรียกชื่อทั้งในหน่วยไมโครและแมคโคร จึงมีหน่วยพิเศษที่ต่างออกไป เช่น ในแมคโคร นักดาราศาสตร์มักใช้หน่วยปีแสง (light year) สำหรับวัดระยะทาง ความเร็วของแสงมีค่าประมาณ 3x108 m/s (300,000,000 เมตรต่อวินาที ซึ่งเท่ากับประมาณ 186,000 ไมล์ต่อวินาที หรือ 980,000,000 ไมล์ต่อชั่วโมง) ดังนั้น ปีแสง คือ ระยะทางที่แสงเคลื่อนที่ได้ใน 1 ปี
1 ปีแสง = 3x108 m/s x 3.6x103 s/hr x 24 hr/day x 365 days/yr x 1 yr
= 9.46x1015 m
ในบางครั้งหน่วยปีแสงยังเป็นหน่วยที่เล็กเกินไป นักดาราศาสตร์จึงใช้หน่วย parsec อีกหน่วยหนึ่ง ซึ่ง 1 parsec มีค่าเท่ากับ 3.26 ปีแสง
ในไมโคร มักใช้ ไมครอน (micron) สัญลักษณ์ คือ อักษรกรีก อ่านว่า mu ซึ่งเท่ากับ 10-6 m หรือ 10-4 cm และหน่วยอังสตรอม (Angstrom) สัญลักษณ์ A ซึ่งเท่ากับ 10-10 m หรือ 10-8 cm
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 19:20 0 ความคิดเห็น
การวัดในชีวิตประจำวัน
วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553
คนเราทุกคนจะเกี่ยวข้องกับการวัดตลอดเวลา เช่น การวัดเวลา วัดอุณหภูมิ เป็นต้น
งานเก็บข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ต้องพิจารณา
(1) มาตรฐานของเครื่องวัด จะต้องมีมาตรฐานที่ยอมรับได้ทั่วไป
(2) เครื่องมือที่เหมาะสมกับสภาพงานที่จะวัด เช่น ในเตาเผาจานกระเบื้อง ซึ่งมีอุณหภูมิ
สูงมาก จะใช้เทอร์มอมิเตอร์ธรรมดาวัดไม่ได้ ต้องวัดด้วยไพโรมิเตอร์ (Pyrometer)
(1) แสดงด้วยขีดสเกล เช่น โวลต์มิเตอร์ทั่วไป จะมีตัวเลขหลายชุดบนหน้าปัดเดียวกัน
ผู้วัดต้องเข้าใจในการเลือกใช้ตัวเลขแต่ละชุด (ซึ่งจะไม่เท่ากัน)
(2) แสดงด้วยตัวเลข เป็นแบบที่สะดวก และรวดเร็ว เพราะอ่านได้ง่ายกว่า
(1) ต้องอ่านให้ถึงค่าที่ละเอียดที่สุดที่อ่านได้จากสเกล เช่น การวัดความกว้างของหนังสือ
ด้วยไม้บรรทัดธรรมดา จะวัดได้ 8.5 เซนติเมตร
(2) ต้องอ่านส่วนที่ประมาณด้วยสายตาอีก 1 ตำแหน่ง เช่น ความกว้างของหนังสือในข้อ (1)
มีเศษเกินขีด 3 มิลลิเมตร ถึงประมาณกลางช่อง เราจะต้องอ่านค่าที่วัดได้เป็น 8.55
เซนติเมตร
รวมกับตัวเลขที่ได้จากการประมาณ 1 ตัว (แม้ว่าจะเป็นศูนย์ก็ตาม)
เช่น เชือกยาว 1.00 ซม. ถ้าวัดด้วย ไม้บรรทัดธรรมดา
เชือกยาว 1.000 ซม. ถ้าวัดด้วย คาลิปเปอร์เวอร์เนียร์
เชือกยาว 1.0000 ซม. ถ้าวัดด้วย ไมโครมิเตอร์
การเลือกใช้เครื่องมือวัด ต้องพิจารณาจากสิ่งที่จะวัด ซึ่งความละเอียดที่ต้องการจะไม่เท่ากัน
(1) งานธรรมดาทั่วไป จะวัดด้วยไม้บรรทัดธรรมดา โดยปกติจะมีความละเอียดถึง 1 มิลลิเมตร
(2) งานเจียระไน จะต้องวัดด้วยเวอร์เนียร์ ซึ่งต้องละเอียดถึง 0.1 มิลลเมิตร
(3) งานกลึงที่ละเอียด ต้องใช้ไมโครมิเตอร์ในการวัด ซึ่งจะวัดได้ละเอียดถึง 0.01 มิลลิเมตร
(1) เครื่องมือที่ใช้วัดจะต้องได้มาตรฐาน และเที่ยงตรง จึงจะวัดได้ถูกต้อง
(2) วิธีการวัด จะต้องไม่มีผลที่จะไปรบกวนระบบเดิม คือ ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงปริมาณที่จะวัด
เช่น จะวัดกระแสไฟฟ้าในวงจร ต้องใช้แอมมิเตอร์ที่มีความต้านทานต่ำ (เพราะแอมมิเตอร์ที่มี
ความต้านทานสูง จะไปเพิ่มความต้านทานในวงจร ทำให้กระแสไฟฟ้าลดลง ซึ่งไม่ตรงกับ
กระแสไฟฟ้าที่ต้องการจะวัด)
(3) ผู้วัด ต้องเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือ และวิธีการวัด เช่น การวัดความดันโลหิต จะวัดได้
ค่อนข้างยากและเครื่องมือแต่ละชนิด จะมีการวัดที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนั้นในการ
ทำการวัดจะต้องมีความรอบคอบ และร่างกายมีสภาพพร้อม จึงจะได้ผลดี
(4) สภาพแวดล้อมขระทำการวัด เช่น การทดลองวัดความสว่างของหลอดไฟ จะต้องไม่มี
แสงสว่างจากแหล่งอื่นมาเกี่ยวข้อง เพราะจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้
Read more...
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 16:39 0 ความคิดเห็น
โครงการนักศึกษาและครูสอนฟิสิกส์ ภาคฤดูร้อนเซิร์น
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553
วันนี้ขอนำเสนอเรื่องโครงการนักศึกษาและครูสอนฟิสิกส์ ภาคฤดูร้อนเซิร์น
เนื่องด้วยมีเพื่อน สควค สมัยเรียนที่ มศว ด้วยกันคนนึง
ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการนี้ค่ะ
คือแบบว่า มีเพื่อนเก่งอะนะ (เหอ ๆ ๆ ๆ)
รายละเอียดโครงการ
http://www.most.go.th/main/index.php/news/organization-news/717-physics.html

แล้วก็นำเอาบทความมาฝากเล็กน้อยค่ะ
“เซิร์น” จับอนุภาคชนกันที่ระดับพลังงานสูงสุดแต่พลาด ลำอนุภาคไม่ชนกัน
เพราะเครื่องซินโครตรอน ซึ่งทำหน้าที่ยิงลำอนุภาคเข้าเครื่องเร่งใหญ่ไม่ทำงาน
ทำให้ต้องยิงใหม่อีกครั้ง แต่ยังไม่ดีพอ
ล่าสุดความพยายามในครั้งที่ 3 ทำให้เซิร์นสร้างสถิติชนอนุภาคที่ระดับพลังงานสูงสุด
และผลิตรังสีคอสมิคได้ เป็นครั้งแรกในห้องปฏิบัติการ
เอเอฟพีรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ที่เซิร์นต่างทุกข์ใจจากการทดลองเดินเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (LHC) เพื่อบังคับให้ลำอนุภาคชนกัน ที่ระดับพลังงานสูงสุด 7 TeV
ภายในท่อที่ขดเป็นวงยาว 27 กิโลเมตร ด้วยความเร็วเข้าใกล้ความเร็วแสง
เมื่อวันที่ 30 มี.ค.53 นี้ เนื่องจากลำอนุภาค 2 ลำไม่ชนกัน
“พวกเขาสูญเสียลำอนุภาคไป” Karsten Eggert นักวิทยาศาสตร์ของเซิร์นกล่าว
โดยเซิร์นได้เริ่มเดินเครื่องเร่งอนุภาคให้ลำอนุภาคชนกันเมื่อเวลา 11.00 น.ตามเวลาประเทศไทย
และได้พยายามอีกครั้งหลังจากนั้น 2 ชั่วโมง
ปัญหาที่เกิดขึ้น เซิร์นได้วิเคราะห์เบื้องต้นและรายงานผ่านทวิตเตอร์ (Twitter)
ว่า เกิดปัญหาขึ้นกับแม่เหล็กคู่ ในวงจรหลักของเครื่อง Super Proton Synchrotron หรือเอสพีเอส (SPS) และเครื่องเร่งอนุภาค LHC ไม่ใช่ผลกระทบจากการรบกวนทางไฟฟ้า ตามที่เข้าใจก่อนหน้านั้น
“เรามีปัญหาจุกจิกเล็กน้อย ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เมื่อคุณมีเครื่องจักรที่ซับซ้อน เช่นนี้ และอีก 1-1.5 ชั่วโมง เราจะเริ่มยิงลำอนุภาคใหม่อีกครั้ง” Paul Collier หัวหน้าฝ่ายลำอนุภาคของเซิร์นกล่าว หลังการยิงลำอนุภาคครั้งแรกล้มเหลว
ทั้งนี้ เซิร์นได้บอกให้ทราบล่วงหน้าแล้วว่า การชนอนุภาคที่ระดับพลังงานสูงสุดนั้น
อาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน เพื่อบังคับอนุภาคให้อยู่ในเส้นทางที่จะพุ่งชน
เมื่อพวกเขาเริ่มการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีเคยมีการทดลองมาก่อน
โดยการทดลองครั้งนี้ตั้งเป้าที่พลังงานระดับสูงแต่ให้เกิดการระเบิดขนาดเล็ก
ที่จำลองสภาพระเบิด “บิกแบง” (Big Bang) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดจักรวาล
ด้าน Steve Myer นักวิทยาศาสตร์อาวุโสของโครงการเปรียบเทียบว่า
ความพยายามในการทดลองครั้งนี้เปรียบเหมือนการยิงเข็มจำนวนมากข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
เพื่อให้เข็มเหล่านั้น ชนกันที่ระหว่างครึ่งทาง
ทั้งนี้ ความเร็วในการวิ่งวนรอบท่อของเครื่องเร่งอนุภาคนั้นเร็วกว่า “วินาที” ถึง 5,000 เท่า
และการทดลองซึ่งถือเป็น “การทดลองทางฟิสิกส์ครั้งแรก” (First Physics)
จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินเครื่องให้อนุภาคชนกันอีกหลายพันล้านครั้งในอีก 18-24 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้กว่าลำอนุภาคโปรตอนจะพุ่งชนกันต้องผ่านการเร่งความเร็วหลายจุด
เริ่มจากการดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอมของไฮโดรเจนเพื่อให้ได้ลำอนุภาคโปรตอน
จากนั้นยิงเข้าสู่เครื่องเร่งอนุภาคเส้นตรง “ลิแนค2” (LINAC2)
ซึ่งยิงลำโปรตอนที่มีระดับพลังงาน 50 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์เข้าสู่เครื่องเพิ่มกำลัง “พีเอสบูสเตอร์” (PS Booster)
เครื่องเพิ่มกำลังพีเอสจะเร่งลำอนุภาคให้มีพลังงาน 1.4 กิกะอิเล็กตรอนโวลต์ก่อนส่งต่อไปยังเครื่องโปรตอนซินโครตรอน (Proton Synchrotron: PS) ซึ่งเร่งให้ลำอนุภาคมีพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 25 กิกะอิเล็กตรอนโวลต์
จากนั้นโปรตอนจะส่งต่อไปยังเครื่อง Super Proton Synchrotron: SPS
เพื่อเร่งพลังงานเป็น 450 กิกะอิเล็กตรอนโวลต์
แล้วยิงเข้าท่อแอลเอชซีในทิศทวนเข็มและตามเข็มนาฬิกา
และลำอนุภาคจะวิ่งวนอยู่ 20 นาทีก่อนที่ระดับพลังงานจะถึง 7 เทราอิเล็กตรอนโวลต์
หลังจากยิงลำอนุภาคครั้งที่ 2 แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ล่าสุดเซิร์นได้เร่งลำอนุภาคครั้งที่ 3
ซึ่งสามารถเร่งให้พลังงานลำอนุภาค 2 ลำให้เพิ่มขึ้นถึง 3.5 เทราอิเล็กตรอนโวลต์
และบังคับให้ลำอนุภาคชนกันได้ในที่สุด ซึ่งเป็นการชนอนุภาคที่ระดับพลังงานสูงสุดเท่าที่เคยมี
และทำให้เกิดรังสีคอสมิคภายในห้องทดลองได้เป็นครั้งแรกบนโลก
โดยเครื่องตรวจวัดอนุภาคซีเอ็มเอส (CMS) สามารถตรวจจับการชนกันของอนุภาคในครั้งนี้ได้
"วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่ได้เป็นนักฟิสิกส์อนุภาค ผู้คนจำนวนมากต่างรอคอยช่วงเวลานี้
แต่ความอดทนและการอุทิศตัวของพวกเขาเริ่มได้รับผลแทนกลับมาแล้ว"
รอล์ฟ ฮิวเออร์ (Rolf Heuer) ผู้อำนวยการเซิร์นกล่าว
ด้านนิวไซแอนทิสต์รายงานว่า การเดินเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีให้อนุภาคชนกัน
ที่ระดับพลังงาน 7 เทราอิเล็กตรอนโวลต์นี้ ซึ่งทำลายสถิติ 2.36 เทราอิเล็กตรอนโวลต์ของเซิร์นเอง
เมื่อปลายปีที่แล้ว ได้กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่ฟิสิกส์ยุคใหม่
และเป็นการเริ่มต้นการทดลองทางฟิสิกส์อย่างเป็นทางการของเซิร์น
ซึ่งจะมีการชนกันของอนุภาคที่ระดับพลังงานสูงเช่นนี้ไปอีกนับล้านๆ ครั้งในอีก 18-24 เดือนข้างหน้า
Read more...
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 00:59 0 ความคิดเห็น
ประเมินสมรรถนะครู
วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

สำหรับครูคณิต แอนด์ วิทย์ ม.ต้น สอบไปแล้ว
วันที่ ๘ นี้ ครูกลุ่มสาระฯอื่น และวิทย์ ม.ปลายก็สอบกันบ้างนะคะ
เฮ้อ...เครียดเหมือนสมัยสอบ com. ตอนเรียน ป.โทเลยค่า
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 05:36 0 ความคิดเห็น
เลนส์ตา
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553
ขั้นตอนของการมองเห็นเริ่มที่เยื่อหุ้มตารับภาพมาแล้วหักเห 70 เปอร์เซ็นต์ แล้วผ่านม่านตาซึ่งมีหน้าที่ปรับแสงที่รับมา
ถ้าแสงน้อยม่านตาจะเปิดกว้าง แต่ถ้าแสงมากม่านตาจะหรี่แคบลง
จากนั้นภาพจะมาที่เลนส์ตาปรับภาพให้หักเหมายังประสาทรับภาพ(เรติน่า)
จากนั้นเรตินาจะเปลี่ยนแสงเป็นกระแสประสาทรวบรวมกันออกไปยังสมอง ผ่านไปทางจุดบอดของตา
ซึ่งเป็นส่วนที่เส้นประสาทรวมกันจึงไม่มีประสาทรับภาพเกิดเป็นจุดบอดขึ้น จากนั้นสมองจะเป็นตัวประมวลผล
ว่าภาพที่ตาได้รับนั้นคือภาพอะไร
ทดสอบจุดบอดในดวงตา (Blind Spot Test)
จุดบอดซึ่งเป็นจุดที่เส้นประสาทรับภาพของดวงตามารวมกันเพื่อส่งกระแสประสาทไปยังสมอง ทำให้จุดนี้ไม่มีประสาทรับภาพเกิดเป็นจุดบอดขึ้น เราสามารถทดสอบได้ว่าจุดบอดในดวงตามีอยู่จริง ทดลองโดยหลับตาซ้ายมองที่วงกลมให้ตาขวาอยู่ตรงตำแหน่งวงกลมพอดี ลองยื่นหน้าเข้าออกเล็กน้อยจนกว่ากากบาทจะหายไป !
เขียนโดย ต้องใจ ที่ 13:23 0 ความคิดเห็น
สุริยุปราคาบางส่วน
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553
สุริยุปราคาบางส่วน 15 มกราคม 2553
Read more...เขียนโดย ต้องใจ ที่ 18:37 0 ความคิดเห็น